พระพุทธอสีติวัสสาผาสุกศิรากาศ

พระมหาธาตุนภเมทนีดล 

พระมหาธาตุ นภพลภูมิสิริ

พระมหาธาตุ นภพลภูมิสิริ

 

อาคารนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรษา

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี 

ประวัติ

 

           พระพุทธอสีติวัสสาผาสุกศิรากาศ เป็นพระพุทธรูปปางเปิดโลก หล่อด้วยทองเหลืองลงรักปิดทอง ความสูง ๘๐ นิ้ว กองทัพอากาศได้จัดสร้างถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเจริญพระชนมพรรษา ครบ ๘๐ พรรษา เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ พระนามว่า “พระพุทธอสีติวัสสาผาสุกศิรากาศ” มีความหมายว่า“พระพุทธปกเกล้าปกกระหม่อม ชาวกองทัพอากาศและประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ให้ร่มเย็นเป็นสุข” โดยประกอบพิธีพุทธาภิเษก ณ อุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ และอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ มณฑป บริเวณพระมหาธาตุเจดีย์ ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ประวัติ

 

          เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๐ อันเป็นปีมิ่งมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๕ รอบ กองทัพอากาศได้ก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์บนดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายและได้รับพระราชทานนามว่า “พระมหาธาตุนภเมทนีดล” อันมีความหมายว่า “พระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุที่ยิ่งใหญ่เพียงฟ้าจดดิน” พระมหาธาตุนภเมทนีดล มีรูปแบบเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ รูป ๘ เหลี่ยม ซึ่งหมายถึง มรรค ๘ คือ ความพากเพียรแสวงหาปรมัตถกรรมของพระพุทธเจ้า อันก้องกังสดาล พึงรับรู้กันทั่ว ปานประหนึ่ง เสียงระฆัง มีความสูง ๖๐ เมตร เพื่อเป็นนิมิตรหมายการสร้างเมื่อใพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษาส่วนบนสุดเป็นรูปทรงยอดปลีทอง รองรับกลีบบัวบาน หมายถึง การตรัสรู้สู่ปรินิพพานนับว่าเป็นส่วนสำคัญ ซึ่งได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุภายใน ห้องโถงทรง ๘ เหลี่ยม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางประทานพร แกะสลักด้วยหินแกรนิต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “พระพุทธบรมศาสดานวมินทรมหาจักรีราชานุสรณ์สัฐิพรรษาสถาพรพิพัฒน์” มีความหมายว่า “พระพุทธเจ้าพระบรมศาสดา สร้างเป็นอนุสรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ แห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ พระชนมพรรษา ๖๐” การตกแต่งพระมหาธาตุนภเมทนีดล คำนึงถึงความสวยงาม เพื่อสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นเมื่อแรกเห็น การประดับประดา แต่ละรายการล้วนมีคุณค่าทั้งทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม เพื่อที่จะให้ปูชนียสถานสำคัญแห่งนี้ปรากฎเป็นเกียรติคุณชั่วกาลนาน 

ประวัติ

 

          เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๕ อันเป็นปีมิ่งมหามงคลที่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๕ รอบ กองทัพอากาศ ได้ก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย และได้รับพระราชทานนามว่า “พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ” อันมีความหมายว่า “เป็นกำลังแห่งฟ้าเป็นสิริแห่งดิน” พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ มีรูปแบบเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำรูป ๑๒ เหลี่ยม เป็นเครื่องหมายแทน อัจฉริยธรรม ๑๒ ประการ แห่งองค์พระพุทธมารดา มีความสูง ๕๕ เมตร ต่ำกว่าพระมหาธาตุนภเมทนีดล ๕ เมตร เพื่อแทนความหมายว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระเยาว์กว่าสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร  ๕ พรรษา ที่ยอดปลีสีทองเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และภายในห้องโถงกลางรูปโดม ๑๒ เหลี่ยม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางรำพึง แกะสลักด้วยหินหยกสีขาว ซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำพระชนมวารของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “พระพุทธสิริกิติทีฆายุมงคล” มีความหมายว่า “พระพุทธเจ้าทรงเป็นสิริมงคลและทรงเจริญพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินินาถ(ในรัชกาลที่๙)” พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ที่สร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง องค์นี้เน้นการออกแบบที่รูปลักษณ์ และสีสันอันอ่อนช้อยงดงาม สมกับคุณลักษณะตามธรรมชาติของสตรี นอกจากนี้ยังเป็นการออกแบบก่อสร้างตามแนวทางของหลักธรรมะ ข้อที่ว่า “โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ” ซึ่งหมายถึง ธรรมอันเป็นไปในทางฝักใฝ่การบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่สุด 

ประวัติ

 

          เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๕ อันเป็นปีมิ่งมหามงคลที่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๕ รอบ กองทัพอากาศ ได้ก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย และได้รับพระราชทานนามว่า “พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ” อันมีความหมายว่า “เป็นกำลังแห่งฟ้าเป็นสิริแห่งดิน” พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ มีรูปแบบเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำรูป ๑๒ เหลี่ยม เป็นเครื่องหมายแทน อัจฉริยธรรม ๑๒ ประการ แห่งองค์พระพุทธมารดา มีความสูง ๕๕ เมตร ต่ำกว่าพระมหาธาตุนภเมทนีดล ๕ เมตร เพื่อแทนความหมายว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระเยาว์กว่าสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร  ๕ พรรษา ที่ยอดปลีสีทองเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และภายในห้องโถงกลางรูปโดม ๑๒ เหลี่ยม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางรำพึง แกะสลักด้วยหินหยกสีขาว ซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำพระชนมวารของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “พระพุทธสิริกิติทีฆายุมงคล” มีความหมายว่า “พระพุทธเจ้าทรงเป็นสิริมงคลและทรงเจริญพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินินาถ(ในรัชกาลที่๙)” พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ที่สร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง องค์นี้เน้นการออกแบบที่รูปลักษณ์ และสีสันอันอ่อนช้อยงดงาม สมกับคุณลักษณะตามธรรมชาติของสตรี นอกจากนี้ยังเป็นการออกแบบก่อสร้างตามแนวทางของหลักธรรมะ ข้อที่ว่า “โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ” ซึ่งหมายถึง ธรรมอันเป็นไปในทางฝักใฝ่การบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่สุด 

ประวัติ

 

           พระพุทธอสีติวัสสาผาสุกศิรากาศ เป็นพระพุทธรูปปางเปิดโลก หล่อด้วยทองเหลืองลงรักปิดทอง ความสูง ๘๐ นิ้ว กองทัพอากาศได้จัดสร้างถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเจริญพระชนมพรรษา ครบ ๘๐ พรรษา เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ พระนามว่า “พระพุทธอสีติวัสสาผาสุกศิรากาศ” มีความหมายว่า“พระพุทธปกเกล้าปกกระหม่อม ชาวกองทัพอากาศและประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ให้ร่มเย็นเป็นสุข” โดยประกอบพิธีพุทธาภิเษก ณ อุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ และอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ มณฑป บริเวณพระมหาธาตุเจดีย์ ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ประวัติ

 

           พระพุทธอสีติวัสสาผาสุกศิรากาศ เป็นพระพุทธรูปปางเปิดโลก หล่อด้วยทองเหลืองลงรักปิดทอง ความสูง ๘๐ นิ้ว กองทัพอากาศได้จัดสร้างถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเจริญพระชนมพรรษา ครบ ๘๐ พรรษา เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ พระนามว่า “พระพุทธอสีติวัสสาผาสุกศิรากาศ” มีความหมายว่า“พระพุทธปกเกล้าปกกระหม่อม ชาวกองทัพอากาศและประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ให้ร่มเย็นเป็นสุข” โดยประกอบพิธีพุทธาภิเษก ณ อุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ และอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ มณฑป บริเวณพระมหาธาตุเจดีย์ ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

พระพุทธบรมศาสดา นวมินทรมหาจักรีราชานุสรณ์

สัฐิพรรษาสถาพรพิพัฒน์

ฉัททันต์

ราชสีห์ คชสีห์

หงส์

 

วานร

ปักษร

นาคปักษิณ 

ประวัติ

 

          เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๐ อันเป็นปีมิ่งมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๕ รอบ กองทัพอากาศได้ก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์บนดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายและได้รับพระราชทานนามว่า “พระมหาธาตุนภเมทนีดล” อันมีความหมายว่า “พระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุที่ยิ่งใหญ่เพียงฟ้าจดดิน” พระมหาธาตุนภเมทนีดล มีรูปแบบเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ รูป ๘ เหลี่ยม ซึ่งหมายถึง มรรค ๘ คือ ความพากเพียรแสวงหาปรมัตถกรรมของพระพุทธเจ้า อันก้องกังสดาล พึงรับรู้กันทั่ว ปานประหนึ่ง เสียงระฆัง มีความสูง ๖๐ เมตร เพื่อเป็นนิมิตรหมายการสร้างเมื่อใพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษาส่วนบนสุดเป็นรูปทรงยอดปลีทอง รองรับกลีบบัวบาน หมายถึง การตรัสรู้สู่ปรินิพพานนับว่าเป็นส่วนสำคัญ ซึ่งได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุภายใน ห้องโถงทรง ๘ เหลี่ยม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางประทานพร แกะสลักด้วยหินแกรนิต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “พระพุทธบรมศาสดานวมินทรมหาจักรีราชานุสรณ์สัฐิพรรษาสถาพรพิพัฒน์” มีความหมายว่า “พระพุทธเจ้าพระบรมศาสดา

ฉัททันต์

 

           สระฉัททันต์นั้นมีภูเขาล้อมรอบอยู่ ๗ เทือกด้วยกัน ภูเขาเทือกหนึ่งๆ นั้นมีลักษณะต่างกันดังนี้คือ เทือกที่ ๑ ล้วนไปด้วยทองคำ เทือกที่ ๒ ล้วนไปด้วยแก้ว เทือกที่ ๓ ล้วนไปด้วยสีเขียวคล้ายดอกอัญชัน เทือกที่ ๔ ล้วนไปด้วยแก้วผลึก เทือกที่ ๕ ล้วนไปด้วยชาติหิงคุ เทือกที่ ๖ ล้วนไปด้วยแก้วมรกต เทือกที่ ๗ ล้วนไปด้วยแก้วไพฑูรย์ เมื่อพระยาช้างฉัททันต์คชสารโพธิสัตว์เกิดนั้น แผ่นดินแห่งนั้นเป็นทองคำ และที่แห่งนั้นมีแผ่นแก้วไพฑูรย์ มีพื้นที่สูงได้ ๕ ศอก กว้าง ๕๐ ศอก มีสระพังทอง ๒ สระ สระหนึ่งมีน้ำใสสะอาดและหอม สถานที่แห่งนั้นยังตั้งอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้ เมื่อช้างเผือกใดเกิดในตระกูลฉัททันต์ ช้างเชือกนั้นจะเป็นพระยาช้างในที่นั้น เป็นช้างที่มีลักษณะขาวงามยิ่งนัก อุปมาดังสังข์ที่ท่านขัดให้งาม ใหญ่สูงได้ ๘๘ ศอก และยาว ๑๖๐ ศอก ตลอดลำตัวจนถึงฝ่าตีนแดงงามดัง ชาติหิงคุ และน้ำครั่งสด ช้างนั้นเมื่อเติบใหญ่เป็นช้างสารขึ้น มีกำลังมหาศาลหาตัวเปรียบเสมอมิได้ งวงช้างนั้นขาวใสดังหยวกกล้วย โดยยาวเรียวได้ ๕๘ ศอก งาทั้งคู่งามงอนดุจปล้องเงินที่ท่านใส่ปล้องทอง หนา ๑๕ ศอก ยาว ๓๐ ศอก มีสี สรรพรรณรายอยู่ถึง ๖ สีด้วยกัน คือ สีเหลือง เหมือนทองคำ สีดำ เหมือนปีกแมลงทับ สีแดง เหมือนชาติหิงคุและน้ำครั่งสด สีขาว เหมือนสังข์ที่ชัดแล้ว สีหม่น เหมือนเงิน สีเขียว เหมือนดอกอินทนิล

ราชสีห์ คชสีห์

 

          นับได้ว่าสัตว์ในป่าหิมพานต์ส่วนใหญ่จัดอยู่ในหมวดสิงห์ คงเป็นเพราะสิงห์เป็นสัตว์ที่ดูสง่า และน่าเกรงขาม สิงห์ในตำนานหิมพานต์สามารถจำแนกออกได้เป็น ๒ ชนิดหลักๆ คือ ราชสีห์ และ สิงห์ผสม ราชสีห์เป็นสัตว์ที่มีพละกำลังสูง ราชสีห์มีอยู่ด้วยกัน ๔ ชนิดคือ บัณฑุราชสีห์ กาฬสีหะ ไกรสรราชสีห์ และ ติณสีหะ ส่วนสิงห์ผสมนั้นมีอยู่มากมาย โดยปกติสิงห์ผสมคือสัตว์ประสมที่มีลักษณะของ ราชสีห์กับสัตว์ประเภทอื่น คชสีห์ คชสีห์ เป็นสิงห์ผสมที่มีกายเป็นสิงห์ และมีช่วงหัวเป็นช้าง ตามตำรากล่าวว่าคชสีห์มีพลังเทียบเท่าช้างและสิงห์รวมกัน ซึ่งนับได้ว่าเป็นสัตว์ที่น่าเกรงขาม คชสีห์มีลักษณะคล้ายสัตว์หิมพานต์อีกชนิดหนึ่งชื่อทักทอ

หงส์

 

           เป็นสัตว์ในจินตนาการของกวี เป็นนกใหญ่ รูปงาม เสียงไพเราะ มีลีลาการเดินงามสง่า ตามคติพราหมณ์ หงส์เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าสามองค์ ได้แก่ พระวรุณ พระพรหม และพระสุรัสวดี ในวรรณคดีสันสกฤต ได้กล่าวถึงความสามารถของหงส์ ที่บินได้ไกลและเร็วมาก เสมอกับครุฑ ในวรรณคดีบาลี กล่าวไว้ว่า หงส์เป็นสัตว์จำพวกนกน้ำ มีสีกายต่าง ๆ ดังปรากฎในคัมภีร์ปรมัตถโชติกามีหกชนิดคือ กายสีเหลือง กายสีแดง กายสีขาว กายสีดำ กายสีเพลิง และกายสีทอง ส่วนในคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกา จำแนกหงส์ไว้สามชนิด เช่นเดียวกับคัมภีร์อมรโกศ ได้แก่ ราชหงส์ มัลลิกาหงส์ และธตรฐหงส์ วรรณคดีบาลีกล่าวถึง ถิ่นที่อยู่ของหงส์ว่า อาศัยอยู่ในถ้ำทอง ที่เขาจิดกูฏ แถบป่าหิมพานต์ ชอบอยู่ในสระบัวที่มีน้ำใสสะอาด อาหารคือ ข้าวสาลี ที่เกิดตามสระ และดอกบัว หงส์เป็นราชาแห่งนก ดังปรากฎในอุลูกชาดก ว่า สัตว์ปีกทั้งหลายเห็นพ้องกันว่า หงส์มีคุณสมบัติสูง จึงควรเลือกเป็นผู้นำ

วานร

 

           พานรมฤค พานี, วานร แปลว่า ลิง เหมือนกัน คือในบาลีและสันสกฤตใช้ว่า วานร ไทยเรามาแผลง ว เป็น พ จึงเป็นพานร ถ้าเป็นหัวหน้าลิงก็ใช้ว่า พานรินทร์ คือ พญาลิง ในรูปก็เป็นพญาลิง ไม่ใช่ลิงธรรมดา พานรมฤค เป็นสัตว์ประเภทเดียวกันกับเทพนรสิงห์, นรสีห์ คือท่อนล่างเป็น สัตว์ประเภทมีกีบ คำว่า “มฤคไ มีความหมายกว้าง คือหมายถึงสัตว์ป่า มีกวาง อีเก้ง เป็นต้น ถ้าเป็นตัวเมีย ก็ใช้ว่า มฤคี แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น มฤคราช, มฤคินทร์, มฤเคนทร์ ก็หมายถึง ราชสีห์ กลายเป็นสัตว์ร้ายมีอำนาจขึ้นมาทันที ไม่ดูขลาดเหมือนกวาง เหมือนอีเก้ง ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า พานรมฤคตัวนี้นุ่งผ้าสั้นเต็มที สั้นพอ ๆ กับนรสีห์ ซึ่งไม่เหมือนกับเทพนรสิงห์ที่นุ่งผ้าเรียบร้อย และโดยเหตุที่เป็นลิง ก็มักจะถือ ผลไม้ซึ่งเป็นอาหารของโปรดไว้ด้วยเสมอ ดีกว่ามืออยู่เปล่า ๆ

 

ปักษร

 

          นาคปักษี ดูตามชื่อเป็นสัตว์ที่ประกอบด้วย นาค(งู) และปักษี(นก) นาคนั้นตามนิยายย่อมจำแลงเป็นอะไรต่าง ๆ ได้ เพราะเป็นพวกมีฤทธิ์อย่างนิยายที่เล่ากันติดปากว่า ครั้งหนึ่ง มีพญานาคตนหนึ่ง แปลงเป็นมนุษย์มาขอบวชในพระพุทธศาสนา วันหนึ่งจำวัดหลับไป ขาดการสำรวม ร่างกายก็กลับเป็นพญานาคตามเพศเดิม มีคนมาพบเข้า เลยต้องสึก แต่ก็ขอฝากชื่อ "นาค" ไว้ ใครจะบวชก็ให้เรียกว่า "นาค" จากนิยายเรื่องนี้ เลยเกิดเป็นธรรมเนียมแต่งตัวผู้ที่จะบวชให้เป็น "นาค"ตามนิยมเมื่อโกนผมแต่งตัวนาค จะแห่ไปวัด ก็ทำลอมพอกเป็นหัวพญานาคสวมศรีษะในสมัยก่อนจะพบในบางท้องถิ่นอยู่เสมอ ในทางช่าง เมื่อแสดงภาพนาคจำแลงเป็นมนุษย์ ก็สวมชฎายอดเป็นหัวพญานาคแต่ในภาพนี้แทนที่จะทำหางเป็นนก กลับเอาหางพญานาคมาใช้ จึงดูเป็นสามส่วนคือหน้าและตัวเป็นมนุษย์ ขาเป็นนก และหางพญานาค ดู "นาคปักษิณ" ประกอบด้วย เพราะชื่อคล้ายกัน แต่ลักษณะต่างกันมาก รูป "นาคปักษี" นี้ผู้เขียนรูปไปได้แบบมาจากประตูโบสถ์วัดนางนอง ธนบุรี

 

นาคปักษิณ

 

          นาคปักษิณเป็นสัตว์กึ่งน้ำกึ่งบก คือเอาส่วนหัวของ "นาค" มาประสม กับส่วนตัวของ "ปักษิณ" ซึ่งแปลตามตัวว่า สัตว์มีปีก ก็คือนกนั่นเอง "นาค" มีความหมายหลายอย่าง แต่ในที่นี้หมายถึงงูใหญ่ในนิยาย ซึ่งเรามักเรียกกันว่า "พญานาค" พญานาคตามทัศนะของจินตกวีและช่างเขียนเป็นงูใหญ่ประเภทมีหงอนและเครา ตามนิยายโบราณมักจะกล่าวถึงพวกนาคมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์เสมอ เรื่องของ พญานาคมีที่มาเป็นสองทาง คือทางลัทธิพราหมณ์กับทางพุทธศาสนา พญานาค ทางลัทธิพราหมณ์ออกจะถือกันว่าเป็นเทวดาแท้ ๆ เช่น พญาอนันตนาคราช และ ท้าววิรุฬปักษ์ (ดูหนังสือ "เทวนิยาย" โดย "ส.พลายน้อย") ว่าถึงที่อยู่ของพวกนาค ก็มีทั้งที่อยู่บนบกและอยู่ในน้ำ อย่างพญาวาสุกรี ที่ อยู่เมืองบาดาลก็ไม่ใช่ในน้ำ เป็นเมืองที่อยู่ใต้โลกมนุษย์ลงไปอีกชั้นหนึ่ง นาค ทางคัมภีร์พุทธศาสนามักอยู่ในโลกมนุษย์เรานี้ อยู่ในโพรงบ้าง ในถ้ำบนบกบ้าง อยู่ในน้ำบ้าง อย่างพญานาคชื่อภูริทัต ในมหานิบาตชาดก ก็อยู่บนบก แต่ตาม เรื่องไทย ๆ เราว่า พญานาคอยู่ในน้ำกันมาก นาคพิภพที่ว่าอยู่ใต้ดินนั้น มีกล่าวในไตรภูมิพระร่วงว่า "แต่แผ่นดินดัน เราอยู่นี้ลงไปเถิงนาคพิภพ อันชื่อว่าติรัจฉานภูมินั้น โดยลึกได้โยชน์ ๑ แล ผิจะนับด้วยวาได้ ๘๐๐ วาแล" นาคปักษิณ หัวเป็นนาค มีหงอน ส่วนท่อนหางเป็นแบบหางหงส์ เพื่อให้ รับกับส่วนหัว

 

พระสิริกิติฑีฆายุมงคล

วิวสวน

วิวสวน

สะพาน

สะพาน

ประวัติ

 

          เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๕ อันเป็นปีมิ่งมหามงคลที่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๕ รอบ กองทัพอากาศ ได้ก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย และได้รับพระราชทานนามว่า “พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ” อันมีความหมายว่า “เป็นกำลังแห่งฟ้าเป็นสิริแห่งดิน” พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ มีรูปแบบเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำรูป ๑๒ เหลี่ยม เป็นเครื่องหมายแทน อัจฉริยธรรม ๑๒ ประการ แห่งองค์พระพุทธมารดา มีความสูง ๕๕ เมตร ต่ำกว่าพระมหาธาตุนภเมทนีดล ๕ เมตร เพื่อแทนความหมายว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระเยาว์กว่าสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร  ๕ พรรษา ที่ยอดปลีสีทองเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และภายในห้องโถงกลางรูปโดม ๑๒ เหลี่ยม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางรำพึง แกะสลักด้วยหินหยกสีขาว ซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำพระชนมวารของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “พระพุทธสิริกิติทีฆายุมงคล” มีความหมายว่า “พระพุทธเจ้าทรงเป็นสิริมงคลและทรงเจริญพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินินาถ(ในรัชกาลที่๙)” พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ที่สร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง องค์นี้เน้นการออกแบบที่รูปลักษณ์ และสีสันอันอ่อนช้อยงดงาม สมกับคุณลักษณะตามธรรมชาติของสตรี นอกจากนี้ยังเป็นการออกแบบก่อสร้างตามแนวทางของหลักธรรมะ ข้อที่ว่า “โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ” ซึ่งหมายถึง ธรรมอันเป็นไปในทางฝักใฝ่การบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่สุด 

พระพุทธบรมศาสดา นวมินทรมหาจักรีราชานุสรณ์

สัฐิพรรษาสถาพรพิพัฒน์

พระพุทธบรมศาสดา นวมินทรมหาจักรีราชานุสรณ์ สัฐิพรรษาสถาพรพิพัฒน์

 

          พระพุทธรูปหินแกรนิตที่ประดิษฐานภายในห้องโถงพระมหาธาตุฯ มีขนาดหน้าตัก ๖๐ นิ้ว สูง ๗.๓ ฟุต กองทัพอากาศสั่งจำหลักจากประเทศอินโดนีเซีย แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อว่า “พระพุทธบรมศาสดา นวมินทรมหาจักรีราชานุสรณ์ สัฐิพรรษาสถาพรพิพัฒน์” แปลได้ความว่า “พระพุทธเจ้าพระบรมศาสดา สร้างเป็นอนุสรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พระชนมพรรษา ๖๐”

พระสิริกิติฑีฆายุมงคล

พระสิริกิติฑีฆายุมงคล

 

        พระพุทธรูปที่ประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่บนแท่นกลางโถง พระมหาธาตุเจดีย์ นภพลภูมิสิริ เป็นพระพุทธรูปปางรำพึงซึ่งเป็นพระประจำวันศุกร์ อันเป็นวันพระราชสมภพ ของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แกะสลักด้วยหินหยกขาว (ฮันไป่หยู) จากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน มีขนาดความสูงเฉพาะองค์พระ ๓ เมตร ๒๐ เซนติเมตร ประทับยืนอยู่บนดอกบัว มีชายสังฆาฏิพาดอยู่บนบัลลังก์ หนักประมาณ ๕ ตัน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็นพระพุทธรูปหินหยกขาวที่มีขนาดใหญ่และงามที่สุดองค์หนึ่ง ได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า “พระพุทธสิริกิติฑีฆายุมงคล” มีความหมายว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นสิริมงคล และ ทรงเจริญพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กองทัพอากาศ มีความภูมิใจอย่างยิ่ง ที่ได้สิ่งที่เป็นหนึ่งถวายแด่องค์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสอันเป็นมิ่งมงคลนี้

 

 

พระเตมีย์

 

           เตมิยราชกุมาร หรือพระเตมีย์ ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ากาสิกราช กับพระนางจันทาเทวี ในพระนครพาราณสี เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์อยู่นั้น วันหนึ่ง ได้ทรงเห็นพระราชบิดา ทรงสั่งให้ลงโทษโจร 4 คน อย่างทารุณ คือ คนหนึ่งให้เฆี่ยนด้วยแส้หนาม หนึ่งพันครั้ง คนหนึ่งให้ล่ามโซ่ตรวนขังไว้ในเรือนจำ คนหนึ่งให้เอาหอกทิ่มแทงให้ทั่วตัว และอีกคนหนึ่ง ให้เสียบด้วยหลาวแหลมจนตาย พระกุมารทรงเห็นแล้วทรงหวาดเสียว สะดุ้งกลัวยิ่งนัก ทรงระลึกชาติในหนหลังได้ว่า เมื่อชาติก่อนนั้น พระองค์เคยเป็นพระราชาแห่งเมืองนี้ เพราะบาปกรรม ที่ทรงกระทำในครั้งนั้น ทำให้พระองค์ต้องตกนรกถึงแปดหมื่นปี บัดนี้ พระองค์กลับมาเกิด ในเมืองนี้อีก ต่อไปก็คงจะได้เป็นผู้ครองเมืองนี้ และกระทำบาปกรรม เช่นเดียวกับพระบิดา ซึ่งก็จะต้องไปสู่นรกอีกแน่นอน เมื่อทรงดำริเช่นนี้แล้ว ทรงสังเวชสลดพระทัย ไม่ทรงปรารถนา ที่จะครองราชสมบัติอีกต่อไป ทรงนึกหาอุบายวิธีที่จะปลีกตัว ให้พ้นจากราชสมบัติ จนพระมนัสหดหู่ เศร้าหมองไม่มีสุข

 

พระมหาชนก

 

           พระมหาชนก (บาลี: Mahājanaka) เป็นเรื่องหนึ่งในทศชาติชาดก อันเป็นชาดก 10 ชาติสุดท้ายก่อนที่พระโพธิสัตว์จะมาประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ และตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาดกเรื่องนี้เป็นการบำเพ็ญความเพียรเป็นบารมี พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงสนพระราชหฤทัย จึงทรงค้นเรื่องพระมหาชนกในพระไตรปิฎกและทรงแปลเป็นภาษาอังกฤษตรงจากมหาชนกชาดก ตั้งแต่ต้นเรื่อง โดยทรงดัดแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังทรงแปลเป็นภาษาสันสกฤตประกอบอีกภาษา

 

พระสุวรรณสาม

 

           ครั้งหนึ่ง มีสหายสองคนรักใคร่กันมากต่างก็ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียงกันไปมาหาสู่กันอยู่เสมอทั้งสองคนตั้งใจว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งมีลูกสาวอีกฝ่ายหนึ่งมีลูกชายก็จะให้แต่งงานเพื่อครอบครัวทั้งสองฝ่ายจะได้ผูกพันใกล้ชิดกันไม่มีเสื่อมคลาย อยู่ต่อมาฝ่ายหนึ่งก็มีลูกชายชื่อว่า ทุกูลกุมาร อีกฝ่ายหนึ่งมีลูกสาวชื่อว่า ปาริกากุมารี เด็กทั้งสองมีรูปร่างหน่าตางดงาม สติปัญญาฉลาดเฉลียว และมีจิตใจมั่นอยู่ในศีล

 

พระเนมิราช พระเนมิราช

 

            ครั้งเสวยชาติเป็นพระเจ้าเนมิราช พระพุทธเจ้าของเราทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมีขั้นสูงสุด คือ ทรงแน่วแน่ มั่นคง ไม่หวั่นไหว แม้ว่าจะถูกเชื้อเชิญให้เสวยสุขอยู่ในสวรรค์ก็ทรงปฏิเสธและเสด็จกลับมาบำเพ็ญบารมีในโลกมนุษย์ ครูของชาวเมือง พระเจ้าเนมิราช เป็นกษัตริย์สืบเชื้อสายมาแต่ราชวงศ์ของพระเจ้าเมฆเทวะ ซึ่งมีกษัตริย์สืบเชื้อสายมาถึง ๘,๔๐๐ พระองค์ ครองราชย์สมบัติอยู่ที่เมืองมิถิลา แคว้นเทหะ เมื่อทรงเจริญวัยขึ้น ก็ทรงยินดีในการบริจาคทาน รักษาศีล และต่อมาเมื่อพระราชบิดาเสด็จออกบวชก็ทรงเสวยราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา

 

พระมโหสถ

 

            ในเมืองมิถิลา มีเศรษฐีผู้หนึ่งมีนามว่า สิริวัฒกะ ภรรยาชื่อ นางสุมนาเทวี นางสุมนาเทวีมีบุตรชายคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อคลอด ออกมานั้นมีแท่งโอสถอยู่ในมือ เศรษฐีสิริวัฒกะเคยเป็นโรคปวดศีรษะมานาน จึงเอาแท่งยานั้นฝนที่หินบดยาแล้วนำมา ทาหน้าผาก อาการปวดศีรษะก็หายขาด ครั้นผู้อื่นที่มีโรคภัย ไข้เจ็บมาขอปันยานั้นไปรักษาบ้าง ก็พากันหายจากโรค เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว เศรษฐีจึงตั้งชื่อบุตรว่า “มโหสถ” เพราะทารกนั้นมีแท่งยาวิเศษเกิดมากับตัว เมื่อมโหสถเติบโตขึ้นปรากฏว่ามีสติปัญญาเฉลียวฉลาด กว่าเด็กในวัยเดียวกัน

 

พระเตมีย์

 

           เตมิยราชกุมาร หรือพระเตมีย์ ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ากาสิกราช กับพระนางจันทาเทวี ในพระนครพาราณสี เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์อยู่นั้น วันหนึ่ง ได้ทรงเห็นพระราชบิดา ทรงสั่งให้ลงโทษโจร 4 คน อย่างทารุณ คือ คนหนึ่งให้เฆี่ยนด้วยแส้หนาม หนึ่งพันครั้ง คนหนึ่งให้ล่ามโซ่ตรวนขังไว้ในเรือนจำ คนหนึ่งให้เอาหอกทิ่มแทงให้ทั่วตัว และอีกคนหนึ่ง ให้เสียบด้วยหลาวแหลมจนตาย พระกุมารทรงเห็นแล้วทรงหวาดเสียว สะดุ้งกลัวยิ่งนัก ทรงระลึกชาติในหนหลังได้ว่า เมื่อชาติก่อนนั้น พระองค์เคยเป็นพระราชาแห่งเมืองนี้ เพราะบาปกรรม ที่ทรงกระทำในครั้งนั้น ทำให้พระองค์ต้องตกนรกถึงแปดหมื่นปี บัดนี้ พระองค์กลับมาเกิด ในเมืองนี้อีก ต่อไปก็คงจะได้เป็นผู้ครองเมืองนี้ และกระทำบาปกรรม เช่นเดียวกับพระบิดา ซึ่งก็จะต้องไปสู่นรกอีกแน่นอน เมื่อทรงดำริเช่นนี้แล้ว ทรงสังเวชสลดพระทัย ไม่ทรงปรารถนา ที่จะครองราชสมบัติอีกต่อไป ทรงนึกหาอุบายวิธีที่จะปลีกตัว ให้พ้นจากราชสมบัติ จนพระมนัสหดหู่ เศร้าหมองไม่มีสุข

 

 

อาคารนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรษา

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี 

อาคารนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

 

          กองทัพอากาศจัดสร้างขึ้น เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมายุ ๖๐ พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ส่วนที่ ๑ จัดแสดงประวัติและความเป็นมาของพระมหาธาตุนภเมทนีดล และนภพลภูมิสิริ ซึ่งตั้งแสดงอยู่บนชั้นที่ ๒ ของอาคาร ส่วนที่ ๒ จัดแสดงการดำเนินการของธนาคารเมล็ดพันธุ์พืช อพ.สธ.อินทนนท์ ซึ่งตั้งแสดงอยู่บริเวณส่วนกลางชั้นล่างของอาคาร ส่วนที่ ๓ จัดแสดงภารกิจกองทัพอากาศ สนองโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำริและการปฏิบัติการบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งตั้งแสดงอยู่บริเวณโถงทางเดินกระจกชั้นล่างของอาคาร

ชมวิว

สะพาน

สะพาน

พระมหาธาตุ นภพลภูมิสิริ

พระมหาธาตุ นภพลภูมิสิริ

พระมหาธาตุนภเมทนีดล 

พระมหาธาตุนภเมทนีดล 

พระมหาธาตุนภเมทนีดล 

พระมหาธาตุ นภพลภูมิสิริ

 

 

 

 

ภาพที่ ๑ พระเขมาภิกษุณี ผู้เป็นเลิศทางมีปัญญามาก

 

          พระเขมาเถรี ก่อนอุปสมบทเป็นภิกษุณี พระเขมาเถรี เป็นพระราชธิดาของกษัตริย์เมืองสาคละ แห่งสาคละนคร ในแคว้นมัททะ เมื่อวัยเยาว์ พระราชธิดาทรงมีพระสิริโฉมที่งดงามทรงมีผิวขาวหมดจดต่อมาเมื่อเจริญวัยแล้วได้ทรงเป็นมเหสีของพระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์แห่งแคว้นมคธมีกรุงราชคฤห์เป็นราชธานีเมื่อพระพุทธเจ้าได้ประกาศเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระองค์ได้เสด็จมายังแคว้นมคธ ทรงโปรดแสดงธรรมแด่พระเจ้าพิมพิสารจนสำเร็จพระโสดาบัน

 

 

ภาพที่ ๒ พระอุบลวัณณาภิกษุณี ผู้เป็นเลิศทางมีฤทธิ์มาก

 

          พระนางอุบลวัณณาเถรีก็ถือปฏิสนธิในสกุลเศรษฐี ณ กรุงสาวัตถี บิดามารดาก็ตั้งชื่อของนางว่า อุบลวรรณา เพราะมีผิวพรรณเสมอ ด้วยวรรณะของดอกอุบลขาบ สมัยนั้น เวลาที่นางเติบโตเป็นสาวแล้ว พระราชาทั้งหลายทั่วชมพูทวีป พากันส่งทูตไปยังสำนักเศรษฐีว่า ขอจงให้ธิดาแก่เราเถิด พระราชาผู้ชื่อว่าไม่ส่งทูตไปไม่มีเลย ดังนั้นเศรษฐีจึงคิดว่า เราไม่อาจจะยึดเหนี่ยวน้ำพระทัยของพระราชาได้ทั้งหมด แต่จำเราจักทำอุบายอย่างหนึ่งดังนี้แล้ว จึงเรียกธิดามาถามว่า ลูกเอ๋ย บวชเสียได้ไหมลูก คำของบิดาได้เป็นประหนึ่งน้ำมันที่เคี่ยวแล้วร้อยครั้ง รดลงที่ศีรษะ เพราะนางมีภพสุดท้ายแล้ว เพราะฉะนั้นนางจึงตอบบิดาว่า ลูกจักบวชจ้ะ พ่อจ๋า !

 

 

ภาพที่ ๓ พระปฏาจารา ภิกษุณี ผู้เป็นเลิศทางมีวินัยมาก

 

          ปฏาจารา เป็นธิดาของเศรษฐีชาวเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล บิดามารดาเป็นคนมั่งคั่งร่ำรวยนางจึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี นางเป็นหญิงรูปร่างงดงามแต่นางหลงรักชายคนใช้ของนางเอง เมื่อบิดามารดาจะหาชายหนึ่งในชนชั้นเดียวกันมาแต่งงานด้วย นางจึงนัดแนะให้คนใช้พาหนีแล้วไปสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยในชนบทอันทุรกันดารแห่งหนึ่ง เริ่มแรกชีวิตในชนบทปฏาจารามีความสุขมากเพราะได้อยู่ใกล้ชิดกับชายคนรัก เวลาผ่านไปไม่นานนางก็ตั้งครรภ์ ในเวลาใกล้คลอดนางมีความกังวลใจเพราะไม่มีบิดามารดาและญาติอยู่ใกล้ นางจึงขอร้องให้สามีพากลับไปหาบิดามารดา

 

 

ภาพที่ ๔ พระโสภาภิกษุณี ผู้เป็นเลิศทางความเพียร

 

          พระโสณาเถรี ผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดา ให้เป็นยอดของภิกษุณีทั้งหลายผู้ปรารภความเพียร ก็โดยเหตุ ๒ ประการ คือโดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ เพราะท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นเป็นอย่างชัดเจนในคุณข้อนี้ของท่าน และไม่เพียงเนื่องจากเหตุข้อนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการแต่งตั้งโดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดัง

 

 

ภาพที่ ๕ พระนันทาภิกษุณี ผู้เป็นเลิศทางฌาน

 

          เจ้าหญิงในศากยวงศ์ที่ชื่อนันทา นั้นมีปรากฏอยู่หลายองค์ เรียกว่า “นันทา” บ้าง “รูปนันทา” บ้าง สุนทรีนันทา” บ้าง “อภิรูปนันทา” บ้าง แต่เมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว จะเหลือเพียง ๒ องค์ คือ เจ้าหญิงรูปนันทา และเจ้าหญิงอภิรูปนันทาเจ้าหญิงทั้งสองนั้น เจ้าหญิงรูปนันทา เป็นพระธิดาของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ และพระนางมหาปชาบดีโคตมี เป็นพระขนิษฐภคินีของเจ้าชายนันทะ ส่วนเจ้าหญิงอภิรูปนันทา นั้น อรรถกถากล่าวว่า เป็นพระธิดาของพระเจ้าเขมกศากยะ มีคู่หมั้นชื่อ เจ้าชายสัจจกุมาร แต่พระคู่หมั้นก็ได้สิ้นพระชนม์ลงในวันหมั้นนั่นเอง

 

 

ภาพที่ ๖ พระธัมมทินนาภิกษุณี ผู้เป็นเลิศทางธรรมกถึก

 

          พระธรรมทินนาเถรีผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของภิกษุณีทั้งหลายผู้เป็นธรรมกถึก ก็โดยเหตุ ๒ ประการ คือโดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ เพราะท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นเป็นอย่างชัดเจนในคุณข้อนี้ของท่าน และไม่เพียงเนื่องจากเหตุข้อนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการแต่งตั้งโดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ

 

 

ภาพที่ ๗ พระสกุลาภิกษุณี ผู้เป็นเลิศทางจักษุทิพย์

 

          พระสกุลาเถรีผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของภิกษุณีทั้งหลายผู้มีทิพยจักษุ ก็โดยเหตุ ๒ ประการ คือโดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ เพราะท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นเป็นอย่างชัดเจนในคุณข้อนี้ของท่าน และไม่เพียงเนื่องจากเหตุข้อนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการแต่งตั้งโดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปดังนี้ ตั้งความปรารถนาไว้ในอดีต ครั้งนั้น นางเกิดในเมืองหงสวดีมีนามว่าขัตติยนันทนา มีรูปสวยงดงามอย่างยิ่งเป็นที่พึงใจ เป็นพระธิดาของพระราชาผู้ใหญ่ พระนามว่าอานันทะ เป็นพระภคินีต่างพระมารดาแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ห้อมล้อมด้วยราชกัญญาทั้งหลาย ประดับด้วยสรรพาภรณ์ เข้าไปเฝ้าพระวีรเจ้า แล้วได้ฟังธรรมเทศนา

 

 

ภาพที่ ๘ พระภัททากุณฑลเกสาภิกษุณี ผู้เป็นเลิศทางตรัสรู้ได้เร็วพลัน

 

          พระภัททากุณฑลเกสาเถรี ถือปฏิสนธิในสกุลเศรษฐี กรุงราชคฤห์ บิดามารดาตั้งชื่อนางว่า ภัททา แปลว่า เจริญ หรือ น่ารัก วันนั้นเหมือนกัน บุตรปุโรหิตก็เกิดในพระนครนั้น เวลาที่บุตรปุโรหิตเกิด อาวุธทั้งหลายก็ลุกโพลงไปทั่วพระนครตั้งแต่พระราชนิเวศน์เป็นต้นไป ปุโรหิตก็ไปเข้าเฝ้าแต่เช้าตรู่ ทูลถามพระราชาตามราชประเพณีถึงการบรรทมของพระราชาในคืนที่ผ่านมาว่าเป็นสุขหรือไม่ 

 

ภาพที่ ๙ พระภัททากปิลานีภิกษุณี ผู้เป็นเลิศทางระลึกชาติก่อน ๆ ได้

 

          พระภัททกาปิลานีเถรีผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของภิกษุณีทั้งหลายผู้มีบุพเพนิวาสญาณ ก็โดยเหตุ ๒ ประการ คือโดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ เพราะท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นเป็นอย่างชัดเจนในคุณข้อนี้ของท่าน และไม่เพียงเนื่องจากเหตุข้อนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการแต่งตั้งโดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปดังนี้

 

 

ภาพที่ ๑ สวรรค์ชั้นที่ ๑ จาตุมหาราชิกาภูมิ มีท้าวจาตุมมหาราช ปกครอง

 

          จาตุมหาราชิกาภูมิ สวรรค์ชั้นแรกอยู่เหนือโลกมนุษย์ขึ้นไป ๔๖,๐๐๐ โยชน์ เป็นแดนสุขาวดี มีเทวราชผู้ยิ่งใหญ่ ๔ พระองค์ทรงเป็นผู้ปกครองดูแล จึงได้ชื่อว่า จาตุมหาราชิกาเทวภูมิ คือ ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพ มีท้าวจาตุมหาราช ทรงเป็นใหญ่ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีเมืองใหญ่เป็นเทพนครอยุ่ถึง ๔ เทพนคร แต่ละเทพนครมีป้อมปราการ กำแพงทองทิพย์เหลืองอร่ามงามนัก ประดับประดาไปด้วยสัตตรัตนะแก้ว ๗ ประการ ภายในเทพนครอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น มีปราสาทแก้ว ซึ่งเป็นวิมานที่อยู่ของเทพยดาชาวฟ้าทั้งหลายตั้งเรียงรายอยู่มากมาย

 

 

ภาพที่ ๒ สวรรค์ชั้นที่ ๒ ตาวติงสาภูมิ มีท้าวสักกะเทวราช ปกครอง

 

          ความงดงามของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตาวติงสาเทวภูมิ หรือ ที่เราเรียกตามภาษาไทยว่า ดาวดึงส์ เป็นสวรรค์ชั้นที่ ๒ ที่จัดอยู่ในกามภพ เป็นปรโลกฝ่ายสุคติภูมิ สวรรค์ชั้นนี้จะเป็นที่รู้จักในหมู่พุทธศาสนิกชนมากที่สุด เพราะมีความสัมพันธ์กับเกี่ยวข้องกับมนุษย์มากอีกชั้นหนึ่ง และที่สำคัญมีผู้ปกครองภพ ที่มีชื่อเสียงมาก คือ ท้าวสักกะเทวราช หรือพระอินทร์ ซึ่งพระองค์เป็นพุทธศาสนิกชน

 

 

ภาพที่ ๓ สวรรค์ชั้นที่ ๓ ยามาภูมิ มีท้าวสุยาม ปกครอง

 

          ยามาภูมิอยู่ในอากาศ สูงกว่ายอดเขาสิเนรุ ๔๒,๐๐๐ โยชน์ เป็นภูมิที่สวยงามและประณีตกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นสวรรค์ที่พรั่งพร้อมด้วยความสุขที่เป็นทิพย์ ปราศจากความยากลำบากใด ๆ ถึงซึ่งความสุขอันเป็นทิพย์วิมาน และทิพยสมบัติก็ปราณีตมาก พระสยามเทวธิราช หรือเรียกว่า พระสุยามะ หรือ ท้าวสุยามะเทวราช ผู้มีอายุยืนถึง ๒,๐๐๐ ปีทิพย์เป็นผู้ปกครองสวรรค์ชั้นยามา เทวดาทั้งหลายที่อยู่ในชั้นนี้ เรียกว่า ยามา หรือ ยามะ เป็นจำพวกอากาสัฏฐเทวดาจำพวกเดียว เพราะมีวิมานลอยอยู่ในอากาศเป็นที่อยู่ เทวดาที่อยู่ในภูมิสูงขึ้นไปกว่าชั้นนี้ก็ล้วนแต่เป็นอากาสัฏฐเทวดาทั้งสิ้น

 

 

ภาพที่ ๔ สวรรค์ชั้นที่ ๔ ดุสิตาภูมิ มีท้าวสันดุสิต ปกครอง

 

          " สวรรค์ชั้นดุสิต " สวรรค์ชั้นที่ ๔ มีนามว่า ตุสิตาภูมิ หรือสวรรค์ชั้นดุสิตที่ได้ ชื่อว่า ตุสิตาภูมิก็ เพราะว่าสวรรค์ชั้นนี้เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าพวกหนึ่ง ซึ่งมีความยินดีและความแช่มชื่นอยู่เป็นนิตย์โดยมีสมเด็จพระสันตุสิดเทวราชทรงเป็นอธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ปกครอง ฉะนั้นจึงได้ชื่อว่า ตุสิตาภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ของเทพเจ้าผู้มีความยินดีแช่มชื่นอยู่เป็นนิตย์

 

 

ภาพที่ ๕ สวรรค์ชั้นที่ ๕ มินมานรตีภูมิ มีท้าวสุนิมมิต ปกครอง

 

          สวรรค์ชั้นนิมมานรดี เป็นสวรรค์ชั้นที่ ๕ จัดอยู่ในกามภพ เป็นปรโลกฝ่ายสุคติภูมิ เป็นสวรรค์ ที่มีอายุทิพย์ วรรณทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ ละเอียดและประณีตกว่าสวรรค์ทั้ง ๔ ชั้นที่ผ่าน และมีความพิเศษ กว่าสวรรค์ทั้งชั้น ๔ ที่ผ่านมาในเรื่องของสมบัติอันเป็นทิพย์ที่สามารถเนรมิตได้ตามใจปรารถนา ซึ่งเป็นสวรรค์อีกชั้นหนึ่งที่น่าศึกษายิ่ง

 

 

ภาพที่ ๖ สวรรค์ชั้นที่ ๖ ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ มีท้าววสวัตตี ปกครอง

 

          ปรนิมมิตวสวัตดี หมายถึง เทวดาที่มีความสุขความเพลิดเพลินในกามคุณทั้ง ๕ เป็นอย่างยิ่ง โดยที่ตนไม่ต้องเนรมิตขึ้นเอง แต่มีเทวดาองค์อื่นคอยเนรมิตให้สมตามความปรารถนาทุกประการ หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ที่อยู่ของเหล่าเทวดาผู้มีท้าวปรนิมมิตวสวัตดีเทวราชเป็นผู้ปกครอง

 

 

ภาพที่ ๑ พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา เลิศกว่าอุบาสิกา ผู้ถวายรสอันประณีต

 

          พระนางสุปปวาสาอุบาสิกาผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของอุบาสิกาทั้งหลายผู้ถวายของมีรสประณีต ก็โดยเหตุ ๒ ประการ คือโดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ เพราะท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นเป็นอย่างชัดเจนในคุณข้อนี้ของท่าน ไม่เพียงเนื่องจากเหตุข้อนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการแต่งตั้งโดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปดังนี้ ตั้งความปรารถนาไว้ในอดีต ดังได้สดับมา พระนางสุปปวาสา โกลิยธิดานั้น ครั้งพระพุทธเจ้า พระนามว่า ปทุมุตตระ นางบังเกิดในเรือนสกุล กรุงหังสวดี

 

 

ภาพที่ ๒ นางนกุลมาตาคหปตานี เลิศกว่าอุบาสิกา ผู้คุ้นเคย

 

          นกุลบิดาคฤหบดีผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของอุบาสกทั้งหลายผู้กล่าวคำคุ้นเคย ก็โดยเหตุ ๒ ประการ คือโดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ เพราะท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นเป็นอย่างชัดเจนในคุณข้อนี้ของท่าน โดยการกล่าวถ้อยคำแสดงความคุ้นเคยกับพระผู้มีพระภาคเฉกเช่นพระพุทธองค์ทรงเป็นบุตรของท่าน ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ ไม่เพียงเนื่องจากเหตุข้อนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการแต่งตั้งโดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ

 

 

ภาพที่ ๓ นางอุตตรานันทมาตา เลิศกว่าอุบาสิกา ผู้ยินดีในฌาน

 

          ธิดาของนายปุณณะคนขัดสน ซึ่งต่อมาได้เป็นเศรษฐีประจำเมืองราชคฤห์ ชีวิตเบื้องต้นของนาง นางอยู่กับบิดาซึ่งรับจ้างเลี้ยงชีพอยู่ในบ้านของท่านสุมนเศรษฐี ต่อมาบิดาของนางได้รับแต่งตั้งจากพระเจ้าแผ่นดินมคธให้เป็นเศรษฐี เพราะเขาได้กลายเป็นผู้มั่งคั่งสมบูรณ์ ด้วยอานิสงส์ที่ได้ถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระสารีบุตรเถระ สุมนเศรษฐีซึ่งเป็นนายของปุณณะเศรษฐีมาก่อน เห็นความมั่งคั่งของปุณณเศรษฐี จึงได้ขอลูกสาวของปุณณเศรษฐีให้ลูกชายของตน ในเบื้องต้นไม่สามารถตกลงกันได้เพราะนางอุตตราเป็นผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และต้องบำเพ็ญกุศลเป็นประจำ

 

 

ภาพที่ ๔ นางกาฬีอุบาสิกา เลิศกว่าอุบาสิกา ผู้เลื่อมใสโดยได้ยินได้ฟังตาม

 

          นางกาฬีอุบาสิกาผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของอุบาสิกาทั้งหลายผู้เลื่อมใสโดยฟังตามๆ กันมา ก็โดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป อุบาสิกานี้นั้นยังเป็นมารดาของพระโสณกุฏิ กัณณเถระเอตทัคคะผู้กล่าวถ้อยคำอันไพเราะ และเป็นเพื่อนสนิทของนางนางกาติยานี เอตทัคคะผู้เลื่อมใสอย่างแน่นแฟ้น ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปนี้

 

 

ภาพที่ ๕ นางสุปปิยาอุบาสิกา เลิศกว่าอุบาสิกา ผู้เป็นคิลานุปัฏฐาก

 

          นางสุปปิยาอุบาสิกาผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของอุบาสิกาทั้งหลายผู้อุปัฏฐากภิกษุไข้ ก็โดยเหตุ ๒ ประการ คือโดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ เพราะท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นเป็นอย่างชัดเจนในคุณข้อนี้ของท่าน อุบาสิกานั้น ปกติก็จะไปสู่อาราม เที่ยวเยี่ยมวิหารและบริเวณทั่วทุกแห่ง เพื่อดูว่ามีภิกษุรูปไรอาพาธ หรือสอบถามภิกษุรูปที่อาพาธถึงความต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่ เพื่อที่นางจะได้จัดหามาถวาย ไม่เพียงเนื่องจากเหตุข้อนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการแต่งตั้งโดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป

 

 

ภาพที่ ๖ นางกาติยานี เลิศกว่าอุบาสิกา ผู้เลื่อมใสอย่างแน่นแฟ้น

 

         นางกาติยานีอุบาสิกาผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของอุบาสิกาทั้งหลายผู้เลื่อมใสอย่างแน่นแฟ้น ก็โดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป และเป็นเพื่อนสนิทของนางนางกาฬี เอตทัคคะ ผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสที่เกิดขึ้นโดยฟังตาม ๆ กันมา ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปดังนี้

 

 

ภาพที่ ๑ พระกีสาโคตมีภิกษุณี เป็นเลิศกว่าภิกษุณีผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง

 

          กีสา เป็นนามที่เรียกขานกัน เพราะเธอมีรูปร่างผอมบาง ส่วนโคตมีเป็นชื่อโคตร นางเป็นธิดาของตระกูลที่เก่าแก่ตระกูลหนึ่งในเมืองสาวัตถี วันหนึ่งขณะที่นางเดินอยู่ที่ตลาดที่มีพ่อค้าแม่ค้าวางของขายแกปนะชาชนที่เดินไปมา นางเหลือบไเห็นพ่อค้าคนหนึ่งนำเอาทองมากองไว้ นั่งเฝ้าดังหนึ่งจะขายให้แก่คนทั่วไปจึงตรงเข้าไปถามว่า “คุณพ่อ คนอื่นเขาขายผ้า ขายน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นต้น แต่ทำไมคุณพ่อนำทองมาขาย”

 

 

ภาพที่ ๒ พระสิคาลมาตาภิกษุณี เป็นเลิศกว่าภิกษุณีผู้พ้นจากกิเลสได้ด้วยศรัทธา

 

          พระสิงคาลมาตาเถรีผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของภิกษุณีทั้งหลายผู้พ้นกิเลสด้วยศรัทธา ก็โดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปดังนี้ ตั้งความปรารถนาไว้ในอดีต ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ ในสมัยของพระปทุมุตรพุทธเจ้า ครั้งนั้นนางเกิดในสกุลอำมาตย์ที่มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก ในพระนครหงสวดี เมื่อเติบใหญ่แล้ว วันหนึ่ง นางได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมกับบิดาเพื่อฝังธรรม ครั้นเมื่อได้สดับพระธรรมเทศนานั้นแล้วก็บังเกิดความเลื่อมใสอย่างแรงกล้า จึงได้ออกบวชเป็นภิกษุณี

 

 

ภาพที่ ๓ พระนางอโนชาภิกษุณี ผู้มีความตั้งใจมั่น

 

          พระมหากัปปินะ เป็นพระโอรสของพระมหากษัตริย์ผู้ครองนครภุกฎวดี ในปัจจันตชนบท มีพระนามเดิมวา “กัปปินะ” เมื่อพระราชบิดาทิวงคตแล้วได้ครอบครองราชย์สมบัติสืบต่อมา ได้พระนามใหม่ว่า “พระเจ้ามหากัปปินะ” มีพระอัครมเหสีพระนามว่า“อโนชาเทวี” ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระราชาผู้ครองนครสาคละ แห่งแคว้นมัททรัฐ พระเจ้ามหากัปปินะ มีพระราชหฤทัยใฝ่ต่อการศึกษาแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ

 

 

ภาพที่ ๔ นางสุชาดาเสนียธิดา เลิศกว่าอุบาสิกาผู้สรณะก่อน

 

         นางสุชาดา สตรีผู้ถวายอาหารมื้อแรกแด่พระพุทธเจ้า โดยที่นางเองก็ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้คือพระพุทธเจ้า นางเป็นอุบาสิกาที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องให้เป็นเอตทัคคะ ผู้เป็นเลิศในการเข้าถึงสรณะเป็นคนแรก เหตุที่ทำให้นางสุชาดาเป็นอุบาสิกาคนแรก นางสุชาดานับว่าเป็นผู้หญิงคนแรกที่มีโอกาสได้ถวายอาหารแด่พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ จึงกลายเป็นผู้ที่เข้าใกล้สรณะ (ที่พึ่ง) ก่อนอุบาสิกาคนอื่น ทำไมนางสุชาดาจึงได้รับโอกาสที่พิเศษนี้ ในอรรถกถาอุบาสิกาที่กล่าวถึงเรื่องของอุบาสิกา ๑๐ นาง กล่าวถึงสาเหตุที่นางสุชาดาได้สิทธิ์เป็นผู้ถวายอาหารมื้อแรกแด่พระพุทธเจ้า

 

 

ภาพที่ ๕ นางขุชชุตตรา เลิศกว่าอุบาสิกาผู้เป็นพหูสูต

 

         นางขุชชุตตราอุบาสิกาผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของอุบาสิกาทั้งหลายผู้เป็นพหูสูต ก็โดยเหตุ ๒ ประการ คือโดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ เพราะท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นเป็นอย่างชัดเจนในคุณข้อนี้ของท่าน คือตลอดเวลาที่พระศาสดาประทับอยู่ในกรุงโกสัมพี อุบาสิกาได้ไปยังสำนักพระศาสดาตามกาลอันสมควร ได้ฟังธรรมแล้ว กลับไปภายในราชสำนักของพระเจ้าอุเทน เพื่อจะแสดงธรรมตามที่ได้ฟังมาแก่สตรีอริยสาวิกา ๕๐๐ นาง อันมีพระนางสามาวดีเป็นประมุข ในเวลาต่อมานางจึงกลายเป็นผู้ทรงจำพระไตรปิฏก

 

 

ภาพที่ ๖ นางสามาวดี เลิศกว่าอุบาสิกาผู้ปกติอยู่ด้วยเมตตา

 

          พระนางสามาวดี ได้ชื่อว่าเป็นเลิศกว่าอุบาสิกาสาวิกาของพระพุทธองค์ในด้านผู้มีปรกติอยู่ด้วยเมตตา พระนางสามาวดีเป็นอัครมเหสีองค์แรกของพระเจ้าอุเทน พระราชาแห่งกรุงโกสัมพี พระเจ้าอุเทนพระสวามีเกิดและโตอยู่กลางป่า เรียนมนต์บังคับช้างจากอัลลกัปปดาบสเพื่อกลับไปครองราชบัลลังก์ (พระเจ้าอุเทนเกิดแต่พระราชเทวีแห่งกรุงโกสัมพีเป็นผู้ควรแก่ราชบัลลังก์อยู่แล้ว แต่พระราชเทวีถูกนกหัสดีลิงค์โฉบไปทิ้งไว้กลางป่าเมื่อทรงพระครรภ์ พระเจ้าอุเทนจึงประสูติและเจริญพระชนม์ที่นั่น

 

 

พระจันทกุมาร

 

          พระจันทกุมาร ผู้ทรงบำเพ็ญขันติบารมี พระจันทกุมารโพธิสัตว์ เป็นพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง ของพระเจ้าเอกราช และพระนางโคตมีเทวี แห่งปุปผวดีนคร ทรงดำรงตำแหน่งพระอุราช พราหมณ์ปุโรหิตผู้มีหน้าที่ ถวายอนุศาสน์อรรถธรรมแด่พระราชา และทำหน้าที่ในตำแหน่งตุลาการ ผู้ตัดสินคดีความด้วย มีชื่อว่า กัณฑหาละ คราวหนึ่งพราหมณ์กัณฑหาละนั้น รับสินบนจากคนผิด ได้ตัดสินคดีโดยความลำเอียง ไม่ตัดสินโดยยุติธรรม เมื่อพระอุปราชจันทกุมารทรงทราบ จึงได้เสด็จไปยังโรงวินิจฉัยคดี ทรงตัดสินคดีใหม่ ตามความเป็นจริงโดยยุติธรรม ประชาชนพากันแซ่ซ้องสาธุการด้วยเสียงอันดัง จนความทราบถึงพระราชา

 

 

พระนารทะ พระมหานารทกัสสปะ

 

          ผู้ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี พระเจ้าอังคติราชเป็นกษัตริย์ ครองเมืองมิถิลามหานครในวิเทหรัฐ มีพระราชธิดา พระนามว่ารุจาราชกุมารี มีอำมาตย์ผู้ใหญ่ใกล้ชิด ๓ นาย คือ วิชัยอำมาตย์ สุนามอำมาตย์ และอลาตอำมาตย์ พระราชาทรงดำรงอยู่ในธรรมเป็นพระธรรมราชา ทรงบริจาคทาน และรักษาอุโบสถศีลเสมอมา วันหนึ่งพระองค์เสด็จไปทรงสนทนาธรรม ตามคำแนะนำ ของวิชัยอำมาตย์ และอลาตอำมาตย์ กับคุณาชีวก (อาชีวก ชื่อคุณะ หมายถึงนักบวช ผู้ไม่นุ่งห่มผ้า คือ ชีเปลือย) ผู้มีวาทะว่าขาดสูญ บุญบาปไม่มี โลกอื่นไม่มี สัตว์เสมอเหมือนกันหมด

 

 

พระวิธูรบัณฑิต

 

          วิธุรบัณฑิต ผู้บำเพ็ญสัจบารมี วิธุรบัณฑิตเป็นอำมาตย์ ของพระเจ้าธนัญชัยโกรพยราช ในอินทปัตตนคร แคว้นกุรุ เป็นผู้มีหน้าที่ถวายอรรถธรรม คำปรึกษาทั้งปวงแก่พระราชา เป็นมหาธรรมกถึกผู้ปราดเปรื่อง เลื่องลือไปทั่วทั้ง ๓ โลก คือ มนุษย์ สวรรค์ และพิภพบาดาล แม้พระราชา ๑๐๑ พระองค์ แห่งชมพูทวีปยังทรงหลงใหล ในการกล่าวธรรมของวิธุรบัณฑิต ไม่ยอมเสด็จกลับพระนครของตน วันหนึ่ง ปุณณกยักษ์ได้แปลงกายเป็นมาณพ ไปอินทปัตตนครเข้าไปในที่ประชุม ซึ่งพระราชาชาวกุรุรัฐ อันมีพระราชา ๑๐๑ พระองค์

 

 

พระเวสสันดร

 

          พระเวสสันดร ผู้ทรงบำเพ็ญทานบารมี ในอดีตกาลนานมา มีพระราชาพระนามว่า พระเจ้าสีวิมหาราช ครองราชสมบัติ ในกรุงเชตุดรแห่งแคว้นสีพี มีพระโอรสพระนามว่า สญชัยราชกุมาร เมื่อพระกุมารทรงพระเจริญวัย พระเจ้าสีวิมหาราช ทรงนำราชกัญญาพระนามว่าผุสดี ผู้เป็นพระราชธิดาของพระเจ้ามัททราช มาอภิเษกสมรสกับพระกุมารนั้น ทรงมอบให้ทั้งสองครองราชสมบัติสืบแทนต่อมา พระนางผุสดีนั้น ในพระชาติที่เพิ่งผ่าน มาทรงเป็นพระอัครมเหสี ของท้าวสักกเทวราช ในพิภพดาวดึงส์ เมื่อจะเสด็จมาอุบัติ ในมนุษยโลกทรงรับพร ๑๐ ประการ